Wednesday, 28 December 2011

ทางเลือกของเมล็ดพันธ์




เหมือนเมล็ดพืช ที่แตกโพล๊ะออกมาสูดอากาศข้างนอก
รับรู้ถึง...อิสระ รับรู้ถึง...ฟ้ากว้าง
แต่ด้อยเดียงสาในหนทางเดิน
เมล็ดใดที่ตกไปในที่ดินอุดมสมบูรณ์ย่อมเติบโตผลิดอกออกผล แผ่ขยายเผ่าพันธ์ต่อไปในอนาคต
ส่วนเมล็ดที่ตกไปในที่แห้งแล้งกันดาน สภาพไม่เหมาะสมที่จะเจริญเติบโต ก็ย่อมที่จะเหี่ยวแห้งเฉาตายไปในที่สุด
ชีวิต...ก็เหมือนเมล็ดพืช
วันหนึ่งที่ตระหนักรู้ ถึงความไม่จีรังของสรรพสิ่ง
ธาตุรู้ในรางกายและจิตใจ ก็หาหนทางออกมาจากห้วงเหว
สูดกลิ่นไอของพระสัจธรรม
ทว่าก็ยังเคว้งคว้าง ต่อเส้นทาง " ใหม่" ที่พบเจออยู่
ไม่รู้ว่า จะใช่หรือไม่อย่างไร?
จำเป็นที่จะต้อง " อยู่ " เพื่อให้ "รู้" ถึงที่สุด
เพื่อการเจริญเติบโต เป็นชีวิตที่แข็งแกร่ง
ไม่แยแส ต่อสุข ต่อทุกข์ ในเบื้องหน้า
ชั่วชีวิตนี้ จะต้อง " ตื่น " ให้ได้
ต้องเป็นเมล็ดพันธ์ดี ไม่ลีบตีบตับ ตายจากไปอย่างไร้ค่า
ขอตั้งปณิธาน.

ดวงใจพ่อแม่

แม้แต่พระพุทธองค์ ก็ยังไม่เคยบังคับใครให้เชื่อในสิ่งที่พระองค์ตรัส
พระองค์สอนให้ผู้อื่นรู้และปฏิบัติตามเท่านั้น
คนที่เป็นพ่อเป็นแม่..
จึงควรทำหน้าที่สั่งสอนอบรมลูกให้รู้จักดีชั่ว
แนะนำแนวทางให้ลูกหลานนำไปปฏิบัติ
เพื่อพบกับความเจริญรุ่งเรือง
เป็นบุคคลที่มีคุณภาพทั้งกายวาจาใจ
แต่ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นผู้กำหนดชะตาและลมหายใจของลูก
ไม่มีใครอิ่มแทนใครได้หรอก ทุกอย่างมันต้อง " รู้ " ได้เฉพาะตน เท่านั้น
เป็น ปัจจัตตัง ดังที่พระศาสดาสั่งสอน.

ก้อนหิน ดิน ทราย...


้ก้อนหิน ดิน ทราย เราเหยียบย่ำ เราทำลาย โดยหาให้ความสำคัญไม่
แต่พอนำก้อนหิน ดิน ทราย เหล่านั้น มาหล่อหลอมรวมกัน เป็นพระพุทธรูป
เรา..กลับกราบไหว้บูชา ก้ิอนหิน ดินทราย ในร่างลักษณ์รูปปั้นนั้น อย่างเคารพนบนอบ
...เพราะรูปแบบที่เปลี่ยนไป เจตนาจึงเปลี่ยนตาม ความรู้สึกนึกคิดคล้อยตามในสิ่งที่ปรากฏ
คนเรานั้น เชื่อง่าย ยึดถือรูปแบบมากว่าความลึกซึ้งที่แอบแฝง
ความเป็นจริง หินคือหิน ทรายเป็นทราย ไม่สามารถที่จะกลายร่างเองเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ได้
ไม่สามารถที่จะ " ให้ " อะไรกับใครได้
จนกว่าจะมีใคร ..ทำให้เป็น
พระพุทธรูปเป็นตัวแทนของพระพุทธองค์ ที่ผสมศิลปะจนกลายมาเป็นสิ่งที่งดงาม น่าเลื่อมใส
แต่สิ่งที่อยู่..ลึก..เข้าไปในพระพุทธรูปต่างหาก คือสิ่งที่เราควรทำความเข้าใจ
เราเคารพพระพุทธองค์ แต่เราไม่เข้าใจในสิ่งที่พระพุทธองค์ท่านตรัสสั่งสอน
เรามีเวลามากมายที่จะทำเรื่อง...ร้อน
แต่ไม่มีเวลาที่จะศึกษาหาหนทางไปพบเรื่อง...เย็น
มนุษย์เชื่อในสิ่งที่เห็น เชื่อในคำบอกเล่า เชื่อคำโฆษณา
โดยไม่รู้เลยว่า แท้จริงแล้วนั้นพระพุทธองค์สอนให้เราตื่น
ตื่นรู้กับความจริงในชีวิตขณะ
เราเสียเวลาที่จะศึกษาหาธรรมะจากตำราและคัมภีร์ต่างๆมากมาย
แต่เราไม่เคยน้อมเข้ามาดูใจของตนเองเลยสักนิด
พระธรรมแท้นั้นอยู่ที่ใจ พระพุทธองค์ตรัสรู้ที่...ใจ
เราจึงควรน้อมเข้ามาดูใจถึงจะถูกต้อง
มนุษย์กราบไหว้อะไรมากมาย เพียงเพื่อหาหนทางยึดเหนี่ยว เพียงเพื่อหาที่พึ่ง
แต่ไม่อุดมด้วยปัญญาเลยสักนิด.

คนความคิด




น้ำที่ใสสะอาดเท่านั้น ที่จะสะท้อนสิ่งที่มากระทบ...ได้ชัดที่สุด
ใจ...ที่ใสสว่าง..เท่านั้น ที่จะมองเห็นทางออกของปัญหา

Monday, 28 November 2011

ฐานธรรม ธรรมฐาน: เรื่องอะไร?

ฐานธรรม ธรรมฐาน: เรื่องอะไร?: บางช่วงของชีวิต... เราคิดว่ามีเรื่องราวมากมายที่เราไม่อยากจดจำ บางช่วงของชีวิต... เราอยากให้มีปาฎิหารย์เกิดขึ้น บางช่วงเวลา... เราแอบอย...

เรื่องอะไร?

บางช่วงของชีวิต...
เราคิดว่ามีเรื่องราวมากมายที่เราไม่อยากจดจำ
บางช่วงของชีวิต...
เราอยากให้มีปาฎิหารย์เกิดขึ้น
บางช่วงเวลา...
เราแอบอยู่ในมุมอุ่นๆที่เราสร้างขึ้นมา โดยไม่อยากที่จะออกมาเจอะเจอผู้คน
บางช่วงเวลา..เราอ้อยอิ่งอยู่กับความสมหวังในอดีต
สิ่งต่างๆเหล่านี้ ล้วนแล้วแต่เกิดขึ้นที่ใจเราทั้งนั้น
มันเป็นเรื่องจริงหรือสมมุติ?

Friday, 28 October 2011

อาสา

การทำความดี มิใช่จิตอาสา
คนที่อยากทำความดี
เป็นเพราะมีต้นกล้าแห่งความดี
อยู่ในตัวมาตั้งแต่เกิด
เมื่อถึงเวลาหนึ่ง...
ต้นกล้าต้นนี้ ก็พร้อมที่จะเจริญงอกงาม
พร้อมที่จะผลิตอ็อกซิเจนเลี้ยงโลก
โดยไม่ได้เลือกว่าจะอาสาช่วยเหลือใคร ?
ให้ทุกคน ให้ทุกๆชีวิต บนโลกนี้
มันเป็นเองโดยอัตโนมัติ
...จากใจ.

ความจริงแห่งชีวิต

ความจริงของชีวิตคนเรา
ไม่มีความสขจริงตั้งอยู่
ที่เห็นว่าตัวเองสุข พบกับความสุข
ที่จริงแล้ว
เป็นเพราะความทุกข์เรา น้อยลงกว่าเดิม
...เท่านั้น.

ชีวิต

ในโลกของสิ่งมีชีวิต
ไม่มีความสุขที่แท้จริงอยู่
ที่เราเห็น เราพบว่ามีความสุขนั้น
ที่แท้แล้ว...
เราแค่มีความทุกข์น้อยลง เท่านั้น

วันหนึ่งที่สวนโมกข์ กรุงเทพมหานคร

นั่งมองดูบึงน้ำข้างตึกหอจดหมายเหตุท่านพุทธทาส ณ สวนรถไฟ จตุจักร กรุงเทพฯ
เห็นน้ำพริ้วไหว ไล้คลื่น ระยิบระยับ ดุจเกล็ดเพชร ตามแรงลม
ส่องประกายล้อแสงแดด พร่าพรายให้แสบตา
ดูสวยสงบ ใส งดงาม เยือกเย็น ไร้พิษภัย
....น้ำในบึง
ออกพื้นที่ที่บางบัวทอง
น้ำสีขุ่นข้น ส่งกลิ่นเหม็น ท่วมทะลัก
เหวี่ยงไปโยนมา กระแทกกระทั้น ไปตามแรงเรือแรงรถ ที่วิ่งกันขวักไขว่
เพื่อแจกถุงยังชีพ และอพยพผู้หนีภัย
....น้ำท่วม
พักสายตาจากทุกสรรพสิ่ง
เหนื่อยล้าเพราะแสงแรงกล้าของพระอาทิตย์
ผ่อนคลายความเครียดที่สุมรุม
ยกขวดน้ำขึ้นดื่ม
....น้ำขวด
เออนะ ...
น้ำยังคงเป็นน้ำอยู่เสมอ
ไม่ว่าจะอยู่ที่ใหน สภาพใด
ไม่เคยดีใจ เสียใจ ภาคภูมิใจ หรือใดๆเลย
น้ำไม่เคยรู้สึกอะไร
เพราะน้ำเป็นเพียง..น้ำ...เท่านั้น
เราต่างหาก..ที่ไม่เคยรู้อะไรเลย
ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร ?
เป็นมนุษย์หรือเป็นคน ?

Friday, 16 September 2011

เรื่องของความสูงต่ำ

คนที่คิดต่ำ ทำเรื่องต่ำๆตลอดเวลาจนเกือบตลอดชีวิต เวลาพินิจพิจารณาอะไร ก็มักจะใช้ ความต่ำ แห่งจิตใจของตัวเอง เป็นบรรทัดฐาน ซึ่งผลที่ได้ก็ย่อมต่ำ ตามมาตรฐานของตัวเอง คนประเภทนี้นิยมเที่ยววินิจฉัยคนอื่น และหาคำตอบจากจิตใต้สำนึกที่ต่ำของตัวเองเป็นเกณฑ์ตัดสิน

คนที่คิดดี ทำดี จะไม่มีเวลาไปเที่ยวตัดสินความเป็นคนของใคร เพราะเวลาส่วนใหญ่ ใช้ไปกับการทำความดี มองหาความดี จุดดีเพือปรับปรุงตัวเองและเป็นแบบอย่าง


คนจิตใจสูง ย่อมสูงทั้งกาย วาจา ใจ

ส่วนคนที่จิตใจต่ำทราม ก็ย่อมทำในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความดีเสมอ

Wednesday, 7 September 2011

ไตรลักษ์






สรรพสิ่ง คือของใช้ มิใช่ของฉัน เป็นแค่สิ่งนั้น สิ่งนี้ มิใช่หรือ เป็นเพียงคนนั้น คนนี้ มิใช่ฤา จะไปยึด แบกถือ ไว้ทำไม? แม้ตัวเรา ก็ใช่เรา ที่ใหนหนา เพียงธาตุสี่ รวมเข้ามา เป็นสังขัย ก็เป็นเพียง ดินกับน้ำ ลมกับไฟ อยู่ด้วยกัน สัมพันธ์กันได้ แต่..ไม่ยึดกัน สักวันหนึ่ง ก็ต้องพราก จากทุกอย่าง คนละทิศ คนละทาง ต่างแปรผัน เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับขันธ์กัน กฏของไตร- ลักณ์นั้น เป็นสัจจริง.

Monday, 29 August 2011

Thursday, 25 August 2011

เราเบื่อโลกหรือโลกเบื่อเรา

.....คนเราเวลามีอะไรที่ไม่ถูกใจ ก็มักจะเกิดอาการ...เบื่อ เบืื่อโน่นนี่ บางทีเบื่อโดยที่ตัวเองก็ยังไม่ทราบด้วยซ้ำไปว่าเบื่ออะไร และเพราะอะไรถึงเบื่อ เราหาเหตุผลต่างๆนานามาสมทบความรู้สึกเบื่อที่มี เพื่อให้ตัวเองรู้สึกว่าถูกต้อง แต่เราไม่สามารถป้องกันและกำจัดการเบื่อในครั้งต่อไปได้ ...โดยถูกวิธี บางครั้ง... เราเบื่อผู้คน เบื่อโลก เบื่อทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่รอบๆตัวเรา โดยที่เราไม่เคยฉงนใจนึกเลยว่า แล้วสิ่งต่างๆที่เราเบื่อนั้น รับรู้หรือเปล่า? สนใจหรือเปล่า? ทุกข์ร้อนหรือเปล่า? แล้วสิ่งเหล่านั้น มีอาการเดียวกับที่เรากำลังรู้สึกอยู่หรือไม่? โลกกว้างใหญ่ไพศาล เราเป็นเพียงธุลีเล็กๆที่อยู่บนโลกนี้ โลกขาดเรา โลกไม่รู้สึกอะไร  แต่ทว่าถ้าหากเราไม่มีโลกนี้อยู่อาศัย เราอยู่ไม่ได้ ...คนส่วนมากสำคัญตัวเองผิดเสมอ...

Monday, 22 August 2011

สัจจะ

สัจจะ ... เป็นเรื่องง่ายๆที่ทุกคนสามารถที่จะประพฤติปฏิบัติโดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมาก แต่ผลตอบแทนนั้น มากมายมหาศาล การรักษาคำพูด ก็คือการรักษาสัจจะนั่นเอง การที่เราไม่พูดโกหก การที่เราทำตามคำพูดที่ตัวเองเคยพูดไว้ นั่นก็หมายถึงเรารักษาสัจจะได้แล้ว คนที่เป็นลูกน้อง เมื่อเป็นคนรักษาสัจจะ เจ้านายก็รัก ไว้ใจ ให้ผลตอบแทนด้วยอัตราเงินเดือนที่สูง เพื่อนร่วมงานก็รัก มีความเจริญรุ่งเรืองในหน้าที่การงาน เพราะมีคนสนับสนุน มีแต่คนรักเพราะไม่ผิดคำพูดใคร? คนที่เป็นเจ้าคนนายคน ไม่ได้หมายความว่ามีเงินแล้วจะเป็นเจ้าคนนายคนได้ ยังมีอีกมากมายหลายคุณสมบัติ ที่คนเป็นเจ้านายจำเป็นต้องมี และต้องมีมากกว่าคนที่เป็นลูกน้องหลายเท่า เมื่อเจ้านายรักษาสัจจะลูกน้องจะรัก เคารพ ศรัทธา การทำงานก็จะยอมตายถวายหัว ผลงานที่ได้ก็จะเต็มร้อย ส่วนเจ้านายประเภทที่ไม่รักษาคำพูด พูดกลับไปกลับมา คำสั่งเปลี่ยนแล้วเปลี่ยนอีก ลูกน้องก็หมดความเชื่อถือ ทำงานไปเหมือนหุ่นยนต์ ไม่มีความเชื่อมั่น ไม่มีพัฒนาการใดๆในด้านบวก ทำงานไปตามคำสั่ง ไม่สั่งไม่ทำไม่คิด การทำงานก็ไร้ประสิทธิภาพ และเมื่อเจ้านายประเภทนี้ ยังไม่รู้สึกตัว ยังกล่าวโทษลูกน้องที่ผลงานตกต่ำ นั่นก็หมายถึงหายนะ
สัจจะหรือการรักษาคำพูด จึงเป็นสิ่งที่มีผลมากมายมหาศาล ทั้งด้านดีและไม่ดี คำสอนที่มีมาหลายพันปี ยังใช้ได้จนถึงทุกวันนี้ และตลอดไป

Friday, 19 August 2011

ความไม่จีรัง

อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงได้หมด  แม้แต่กาลเวลาก็ไม่ยกเว้น ทุกอย่างล้วนไม่คงที่ อันนี้เป็นกฏตายตัวของธรรมชาติ ในโลกของวัฏฏะสงสาร ถือว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่ในโลกของมนุษย์ การเปลี่ยนแปลงมักก่อให้เกิดปัญหาที่ตัวเองรับไม่ได้ ไม่ทันตั้งรับ หรือ ไม่อยากรับรู้ใดๆ เพราะการเปลี่ยนแปลงมักมีผลร้ายมากกว่าผลดี " มากกว่า " ไม่ได้แปลว่า "ไม่มี "ดังนั้น เราจึงไม่ควรกลัวความเปลี่ยนแปลง ไม่ว่าจะเกิดขึ้นตอนใหน อย่างไร กับใคร มากน้อยเพียงไร เพราะการเปลี่ยนแปลงเป็นนิรันด์ เราไม่สามารถที่จะหลีกเลี่ยงพ้น
เพราะฉนั้น เผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีสติเถิด

Thursday, 18 August 2011

...กับดัก

คนเมืองใหญ่
  น้อยคนนักที่จะรู้จักธรรมชาติ รู้จักณ.ที่นี้หมายถึงรู้จักจริงๆ มิใช่พบ มิใช่เห็น หรือแค่ได้ยินได้ฟังมา   ดังนั้นแล้วคนเมืองใหญ่จำนวนเหล่านี้จึงไม่สามารถเข้าใจกฏแห่งธรรมชาติได้อย่างถูกต้องและถ่องแท้
คนชนบท...ส่วนมาก
  วิ่งไขว่คว้าหาเงินตราและความสำเร็จ ที่เข้าใจไปเองว่า มีอยู่ในเมืองใหญ่ จนลืมและไม่เข้าใจกฏแห่งธรรมชาติ
  ความแตกต่างและความไม่เข้าใจนี่เองที่เป็นตัวกำหนดให้คนหลงทาง จนไม่สามารถที่จะดำรงชีวิตอยู่ได้โดยปรกติสุขและปราศจากทุกข์
ต่างคนต่างไม่เข้าใจ
ต่างคนต่างติดกับดัก
กับดักที่ตัวเองกำหนดขึ้น  สร้างขึ้น อาจจะด้วยความไม่รู้หรือรู้เท่าไม่ถึงการณ์ก็ตามแต่
ทว่าเมื่อเดินหลงทางแล้วก็ยากที่จะหวนกลับปีนป่ายให้พ้นวังวนเหล่านั้นได้โดยง่าย
เพราะความหลงนั้นพิษร้ายกาจมาก
รวมไปถึงมนุษย์นั้นชอบเดินทางและค้นหา แต่ไม่ชอบมีผู้นำ ไม่ชอบมีพี่เลี้ยง
ทั้งๆที่โลกนี้มีพี่เลี้ยงมานานแล้วกว่าสองพันห้าร้อยปีก็ตาม
มนุษย์จึงหลงทางกันวันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า จนยาวนานตลอดชีวิต.....

อย่าลืม...

อย่าลืมว่า...เรามิใช่มนุษย์เพียงคนเดียวที่ยืนอยู่บนโลกใบนี้  มนุษย์คนอื่น ก็มีสิทธิ์เท่าเทียมกับเราในการที่จะยืน..จะใช้ชีวิตเหมือนกับที่เราใช้ ไม่มีเหตุผลใดๆทั้งสิ้นเลยที่เราจะเอาคำว่า ใช่​​ไม่ใช่  ดีไม่ดี สวยไม่สวย หล่อไม่หล่อ ชนกลุ่มน้อย ชนกลุ่มใหญ่ คนไร้รากหรือคนเมืองศิวิไลย์ คนจนหรือคนรวย มาเป็นเครื่องชั่งตวงวัดความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น อย่าตัดสินคนอื่นตามที่ได้ยินได้ฟังมา อย่าพิจารณาความเป็นคนจากความชอบไม่ชอบ อิฐก้อนสุดท้ายที่เรามองไม่เห็น ก็เป็นอิฐก้อนแรกที่ทำให้เรามีที่ยืน ทุกอย่างล้วนมีคุณค่าอยู่ในตัวของมันเองเสมอ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มีคนต้องการ หรือไม่ต้องการ การอยู่ร่วมกัน จึงเป็นคำที่ไพเราะที่สุด " ร่วมกัน " ดอกไม้หลากสี เมื่อมารวมกันกลายเป็นพวงมาลัยถวายเป็นพุทธบูชา เมื่อไรก็ตามที่เกิดความเหลื่อมล้ำ ความอยุติธรรมก็จะเข้ามา เมื่อนั้น โลกก็ประสบกับหายนะ...

แล้วมันก็จะผ่านไป

ไม่ว่าเรื่องอะไร...ความสุข ความทุกข์ ไม่มีอะไรที่จะดำรงอยู่ได้โดยไม่เปลี่ยนแปลง ไม่มีอะไรจะอยู่กับที่ได้โดยไม่จากลาพลัดพราก พระอาทิตย์ขึ้น พระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ตก พระอาทิตย์ขึ้น เป็นแบบนี้มานานแสนนาน และตลอดไป มีผู้คนล้มหายตายจากทุกเวลา มีคนถือกำเนิดขึ้นมาในโลกอย่างต่อเนื่องทุกนาที วนเวียนไปเช่นนี้เป็นวัฏจักร แล้วมัน...ก็จะผ่านไป แล้วมันก็จะวนเวียนกลับมา เข้าใจ ความจริง แล้วจะพบ ความจริง ความจริงที่ไม่ต้อง...เพลินสุข ลืมทุกข์ หรือจมทุกข์ ไร้สุข ชั่วนาตาปี วันหนึ่งก็จะเข้ามา วันหนึ่งก็จะออกไป อย่าไปอาวรณ์อาลัย กับ ทุกสรรพสิ่งเลย.

" เรา "

คนเรานั้นที่แท้แล้ว ไม่เคยมีใครทำอะไรผิด ความไม่รู้ต่างหาก ที่ทำให้คนเราทำผิด จงอภัยให้ตัวเอง แต่อย่าอภัยให้กับความ ไม่รู้ ทำลายมันเสีย กำจัดมันเสีย. แต่... แม้แต่ความไม่รู้ ก็มีประโยชน์ เพราะเมื่อเรารู้แล้วว่าเรา ไม่รู้ เราก็จะพยายามที่จะทำความพยายามให้ตัวเอง รู้ คนที่รู้ ใน ความไม่รู้ ยังดีกว่าคนที่ ไม่รู้ ใน รู้

การให้

คนหนึ่งคน... เป็นทั้งผู้รับและผู้ให้ในขณะหนึ่งเดียวกัน ไม่มีอะไรที่ให้แล้วไม่รับ รับแล้วไม่ให้ เมื่อรับแล้วก็อย่าลืมให้ เมื่อให้แล้วก็อย่าลืมตอนรับ เพราะเวลาที่เราให้ จะได้เข้าใจว่า คนอื่น เวลาที่รับแล้ว เขามีความรู้สึกอย่างไร อย่ามีความสุขคนเดียว แล้วเราจะไม่เศร้าคนเดียว ไม่ว่าจะเป็นทรัพย์สิน...สิ่งของ...เงินทอง...ความรู้สึก...ล้วนแล้วแต่มีคุณค่าทางจิตใจทั้งนั้น

Wednesday, 17 August 2011

ต่อเติม

เราต่อเติมความ..."ไม่พอ"...อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย ไม่ว่าความไม่พอทางกาย ทางวาจา  ทางใจ โดยไม่สงสารร่างกายตัวเอง อันเป็นสิ่งที่เปราะบาง โดยไม่สนใจจิตวิญญาณที่ต้องการความเรียบง่าย แต่เราก็ไม่เคยรู้ หรือเรารู้แต่เราไม่ใส่ใจ เราถูกชักลากจาก..กิเลส จนก่อให้เกิดตัณหา นำพาไปสู่ความไม่พอ เมื่อไหร่ที่เราจะเลิกต่อเติม เมื่อไหร่ที่เราจะพอ อีกนานไหม?ที่จะเลิกทำร้ายตัวเอง...?????????

เวลาว่าง

เรื่องเวลา... เป็นสิ่งเดียวที่เราไม่อาจจะดึงกลับมาได้ ไม่มีอะไรทดแทน ผ่านไปแล้วก็ย่อมผ่านเลยไป ในระหว่างที่ชีวิตอยู่ท่ามกลางเวลา เราใช้ชีวิตอย่างไร?ให้คุ้มค่าที่สุดในขณะนั้น หากไม่สามารถที่จะทำอะไรได้มากกว่าที่เป็นอยู่ การบอกเล่าเรื่องราวดีๆ ข้อคิด คติธรรม ก็เป็นความดีอีกชนิดหนึ่งที่เราสามารถทำได้โดยไม่เดือดร้อน ทำเถอะ...ก่อนที่เราจะไม่มีโอกาสได้ทำ

ธรรมดา ธรรมชาติ

เมื่อเราเจ็บปวด ผิดหวัง ท้อแท้ หรือมีเรื่องไม่สะบายใจใดๆ ก็ไม่ควรที่จะจ่อมจมอยู่กับความรู้สึกเหล่านั้นนานเกินไป ความสุขหรือความทุกข์มันอยู่คนละขั้วก็จริง แต่มันก็เป็นเพื่อนสนิทกัน เมื่อเราไขว่คว้าหาความสุขสมหวัง เราก็ย่อมได้ความทุกข์มาเป็นของแถม เช่นกันเมื่อเรามีความทุกข์ ความสุขก็มาเป็นแพ็คคู่เช่นกัน ส่วนอะไรที่อยู่กับเราได้นานหรือไม่นาน ทุกอย่างมันมีวาระของมัน เพราะว่าทุกสรรพสิ่งไม่มีอะไรจีรัง เราอย่าหลงความสุข อย่าหมกมุ่นจมจ่อมอยู่กับความทุกข์ เพราะมันย่อมผ่านไปในไม่ช้า หากเราเข้าใจกฏของธรรมชาติ กฏของแก่นธรรม เราก็จะไม่ทุรนทุรายใดๆกับสิ่งที่เข้ามาในชีวิต อยู่กับสิ่งทั้งมวลอย่างมีความสุข อย่างเข้าใจ ขอสิ่งดีๆจงปรากฏ...

เรื่องของคน

ความที่เป็น " คน " เลยมีเรื่องให้ " คน " ตลอด เราเคยได้ยินคำนี้มา " คนเหมือนคน แต่ไม่เหมือนคน " พอเรานำมาใช้ต่อ  คนที่ฟังงงเป็นไก่ตาแตก แม้แต่คนที่เรียนจบสูงๆ มีปริญญาหลายใบ ก็ยังไม่เข้าใจ คำๆนี้ กลายเป็รว่าเราเป็นพวกพูดไม่รู้เรื่อง บ้าๆบอๆ เออ นั่นดิ เราบ้าเปล่านะ ....
เมื่อเราเจ็บปวด...ไม่ได้หมายความว่าเราจะไม่รู้สึก และก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะต้องประกาศให้โลกรู้ คนเรา...มีทางเลือกเสมอ แม้บางครั้ง...เราจะไม่รู้จักทางนั้นเลยก็ตาม แล้วเราก็ต้องเดินไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ ทางใหนๆก็ล้วนแล้วแต่อันตรายทั้งสิ้น หากเราไม่มีสติประคับประคองตัวเรา ...ความกลัวนั่นเอง ที่ทำให้เราเจ็บปวดยิ่งกว่า...